รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle)
น้ำมันคือทรัพยากรทางด้านพลังงานที่สำคัญ มีการนำใช้มานานนับร้อยปี เชื่อว่า อีกไม่นาน ปริมาณน้ำมันที่ขุดได้ก็จะลดลง และหมดไป ดังนั้น พลังงานทางเลือก จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญ และจะดีกว่าไหม ถ้าใช้พลังงานสะอาด ลดปริมาณสารพิษในอากาศอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายค่าพลังงาน และค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์
พลังงานไฟฟ้า ทางเลือกของผู้ใช้รถ
ปัจจุบัน คงไม่ต้องอธิบายให้มากมายว่า รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) กำลังเป็นที่จับตามองของคนทั่วโลก ในส่วนของค่ายรถยนต์แบรนด์ต่างๆ ก็เริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมายหลากหลายรุ่น เรียกว่าแทบทุกแบรนด์ก็ว่าได้ นอกจากนี้ ปัจจุบัน 2023 เราสามารถเห็นรถยนต์ไฟฟ้า วิ่งตามท้องถนนอย่างมากมายเช่นกัน
ทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- BEV (Battery Electric Vehicle)
รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% คนส่วนใหญ่มักเรียกสั้นๆว่า EV (Electric Vehicle) รถยนต์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับการเดินทางระยะใกล้ มากกว่าการเดินทางระยะไกลๆ - PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้า เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากรถยนต์ไฮบริด หมายถึง รถยนต์ที่สามารถใช้งานได้ทั้งพลังงานไฟฟ้า และน้ำมันเบนซิลหรือดีเซล (เลือกใช้งานได้) ทำให้มีพลังงานใช้งานได้มากกว่ารถยนต์ปกติ ทำให้เดินทางได้ไกลมากว่ารถยนต์ทั่วไป สามารถชาร์จไฟจากสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วไป หรือชาร์จจากที่บ้านได้เช่นกัน และที่สำคัญคือ ช่วยลดมลพิษได้มากกว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานจากน้ำมัน
สำหรับรถยนต์ไฮบริดแบบเดิม HEV (Hybrid Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ที่รองรับการใช้งานทั้งพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า แต่จะเน้นใช้พลังงานน้ำมันเป็นหลัก ส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้า จะใช้ตอนที่รถออกตัวหรือจังหวะที่ใช้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ จะใช้เทคนิคการเก็บพลังงานไฟฟ้า ในขณะที่มีการเหยียบเบรค
Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) เครื่องยนต์ใช้ไฮโดรเจนแทนการใช้ไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งประเภทของรถยนต์ที่น่าจับตามอง รถยนต์ประเภทนี้ ไม่มีการปล่อยสารที่เป็นมลพิษ การเลือกใช้ จำเป็นต้องศึกษาสถานีที่มีการให้บริการเติมไฮโดรเจน
ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แบ่งออกได้ 3 ประเภท
- Normal Charge
การชาร์จโดยใช้สายแปลง (ซื้อเพิ่ม หรืออาจแถมมากับรถ) เพื่อให้สามารถเสียบกับไฟบ้านได้ แต่.. ไฟบ้านจะต้องมีกำลังมากพอ โดยจะต้องกำลังไฟขั้นต่ำ 15(45)A ขึ้นไป - Double Speed Charge
เป็นการชาร์จไฟผ่านสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะสามารถได้เร็วกว่า การชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟในบ้าน (Normal Charge) - Quick Charger
เป็นวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า "แบบเร็วที่สุด" สามารถชาร์จให้เต็มได้ภายในเวลา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า DC (Direct Charging)
คุณทราบหรือไม่ว่า หัวชาร์จในรถยนต์แต่ละค่าย แต่ละโซน อาจมีหัวชาร์จที่แตกต่างกัน ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ หัวชาร์จไฟฟ้า จากประเทศในแถบยุโรป จะมีขนาดใหญ่กว่าโซนอเมริกา เป็นต้น
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
ปัจจุบัน ปี 2023 มีสถานีชาร์จไฟฟ้าให้สามารถชาร์จได้ทั่วไป (มากขึ้นกว่าเดิม) โดยสามารถเลือกชาร์จไฟฟ้าได้ตามสถานีน้ำมันเป็นหลัก นอกจากนี้ตามสถานที่สำคัญๆ อย่าง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือตามสถานที่พักค้างแรมอย่างเช่นโรงแรม ก็มีให้บริการบ้างแล้วเช่นกัน แต่อาจยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ
การติดตั้งสถานีที่ให้บริการแบบ Quick Charge นั้น จะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงกว่าแบบ Double Speed Charge มาก ดังนั้น จึงทำให้ค่อนข้างหาสถานีชาร์จชนิดนี้ยากตามไปด้วย ดังนั้น พอสรุปได้ว่า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นแบบ Double Speed Charge ซึ่งต้องใช้เวลาชาร์จหลายชั่วโมงกว่าจะเต็ม แต่ส่เชื่อว่า ผู้ขับส่วนใหญ่คงต้องการชาร์จไฟ เพื่อให้สามารถขับต่อถึงบ้านได้เท่านั้น จากนั้น ค่อยกลับไปชาร์จที่บ้านต่อ เพราะค่าใช้จ่าย น่าจะถูกกว่าอย่างแน่นอน
รายชื่อองค์กรหลัก ที่มีการติดตั้งสถานีไฟฟ้า ประกอบด้วย
- การไฟฟ้านครหลวง (MEA)
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)
- บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลึก จำกัด (OR)
- บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (EA)
นอกจากนี้ เจ้าของแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของโลก ก็มีการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากันแล้ว และมีการให้บริการทั้งรถยนต์ที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง รวมทั้งให้บริการแก่บุคคลทั่วไปอีกด้วย
Tags:
เทคโนโลยี